(เครดิตรูปภาพ: Freepik)
ฝนกรดคืออะไร? ทำไมถึงเป็นภัยต่อสีรถ?
ฝนกรด (Acid Rain) เกิดจากมลพิษในอากาศ เช่น ไนโตรเจนออกไซด์ และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ที่ถูกปล่อยจากรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม หรือแหล่งเผาไหม้ต่าง ๆ ลอยขึ้นไปจับตัวกับไอน้ำในบรรยากาศ แล้วตกลงมาในรูปของฝนที่มีค่า pH ต่ำกว่าปกติ
ฝนกรดทำร้ายสีรถอย่างไร?
- ทำให้ชั้นเคลือบแลคเกอร์หรือแว็กซ์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ
- เกิดรอยด่าง รอยคราบฝังลึกบนพื้นผิวรถ
- เร่งปฏิกิริยาออกซิเดชันบนชั้นผิวรถ ทำให้สีซีดจางและหมองไว
- หากทิ้งไว้โดยไม่ล้าง อาจเกิดการกัดกร่อนกับพื้นผิวโลหะ
วิธีดูว่ารถเจอฝนกรดหรือไม่
- หลังฝนหยุด สังเกตที่กระจกหรือผิวรถ: มีคราบขาวเป็นจุด ๆ หรือรอยวงน้ำแห้งชัดเจน
- รู้สึกว่าพื้นผิวสาก ไม่เรียบลื่นเหมือนเดิม
- คราบฝนฝังแน่น แม้ใช้ผ้าเช็ดก็ยังเห็นอยู่
วิธีล้างรถอย่างถูกต้องหลังเจอฝนกรด
1. ล้างรถทันทีหลังฝนหยุด หรือภายใน 1-2 ชั่วโมง
ยิ่งล้างเร็ว ยิ่งลดโอกาสการฝังตัวของสารเคมี
2. ใช้น้ำเปล่าล้างฝุ่นและคราบเบื้องต้นก่อน
อย่าเช็ดคราบฝนด้วยผ้าแห้ง เพราะอาจขูดพื้นผิวและเกิดรอยขีดข่วน
3. ใช้น้ำยาล้างรถโดยเฉพาะ
หลีกเลี่ยงการใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป เพราะมีฤทธิ์เป็นด่างสูง อาจกัดสีรถ
4. ใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่ม เช็ดตามแนวยาว ไม่วนเป็นวงกลม
5. เช็ดให้แห้งทันทีด้วยผ้าไมโครไฟเบอร์
การปล่อยให้แห้งเองจะทำให้คราบฝนกรดระเหยและทิ้งคราบรอยวงน้ำ
6. ลงแว็กซ์หรือเคลือบสีหลังล้าง (ถ้าเป็นไปได้)
เพื่อฟื้นฟูชั้นเคลือบปกป้องสีรถ และลดผลกระทบจากฝนในครั้งต่อไป
เคล็ดลับป้องกันระยะยาว
- เคลือบสีหรือเคลือบแก้วอย่างสม่ำเสมอ (ทุก 2–3 เดือน)
- หลีกเลี่ยงการจอดกลางแจ้งนาน ๆ โดยเฉพาะหลังฝนตก
- พกร่มรถหรือผ้าคลุมรถกัน UV ไว้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน
- หากขับผ่านพื้นที่อุตสาหกรรมหรือมีควันดำ ควรรีบล้างรถเร็วขึ้น
ฝนกรดอาจมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ส่งผลเสียต่อสีรถชัดเจน หากคุณล้างรถให้ถูกวิธีและทันเวลา จะช่วยยืดอายุสีรถให้เงางามได้ยาวนานหลายปีเลยทีเดียว
รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!
อ่านเพิ่มเติม: 5 เหตุผลทำไมปี 2025 ควรซื้อ “รถมือสอง” มากกว่ารถใหม่
ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…