(เครดิตรูปภาพ: MendMotor)
ต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีด้านความปลอดภัยสำหรับการขับขี่ในปัจจุบันได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
และสองระบบที่มีความสำคัญ ที่ผู้ใช้รถยนต์ควรรู้จักก็คือ ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) และ ระบบ EBD (Electronic Brakeforce Distribution) ที่เมื่อทำงานร่วมกัน จะช่วยให้ความสามารถในการควบคุมรถดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ฉุกเฉินบนสภาพถนนที่ท้าทาย
ระบบเบรก ABS (Anti-lock Braking System) คืออะไร?
ลองจินตนาการถึงสถานการณ์ที่คุณต้องเบรกกะทันหันบนถนนที่ลื่น หากไม่มี ABS ล้อรถอาจล็อก (ล้อหยุดหมุน) และทำให้รถเสียการควบคุม ไถลไปข้างหน้าโดยไม่สามารถบังคับทิศทางได้
ABS คือระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรก ทำงานโดยการควบคุมแรงดันน้ำมันเบรก ที่ส่งไปยังล้อแต่ละล้อเป็นจังหวะอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ล้อใดล้อหนึ่งหยุดหมุนทันทีและไถลไปกับพื้นผิวถนน การทำเช่นนี้ทำให้ยางยังคงสามารถยึดเกาะกับพื้นผิวถนนได้ และผู้ขับขี่สามารถ บังคับทิศทางรถหรือหักหลบสิ่งกีดขวางได้ แม้ในกรณีเบรกอย่างรุนแรง
หลักการทำงานของระบบเบรก ABS
- ABS จะมีเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร็วการหมุนของล้อแต่ละล้อ
- เมื่อตรวจพบว่าล้อใดล้อหนึ่งกำลังจะล็อก (ความเร็วการหมุนลดลงอย่างรวดเร็วผิดปกติ)
- ระบบจะสั่งการลดแรงดันน้ำมันเบรกไปยังล้อนั้นชั่วขณะ ทำให้ล้อกลับมาหมุนได้อีกครั้ง
- จากนั้นจะเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรกกลับไปใหม่ ทำสลับกันไปอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะที่เรียกว่า "ปล่อย-จับ-ปล่อย-จับ" ซึ่งคุณอาจรู้สึกได้ถึงการสั่นสะท้านที่แป้นเบรกขณะ ABS ทำงาน
ประโยชน์ของระบบเบรก ABS
- ควบคุมทิศทางรถได้ ป้องกันไม่ให้รถไถลเสียการควบคุม สามารถหักหลบสิ่งกีดขวางได้
- ระยะเบรกสั้นลง (ในบางสภาพถนน) โดยเฉพาะบนถนนที่ลื่น เช่น เปียกหรือมีกรวด จะช่วยให้ระยะเบรกสั้นลงเมื่อเทียบกับการเบรกจนล้อล็อก
- เพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการเสียการควบคุมขณะเบรกฉุกเฉิน
ระบบ EBD (Electronic Brakeforce Distribution) คืออะไร?
ในขณะที่ ABS เน้นการป้องกันล้อล็อก EBD จะเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการเบรกโดยการกระจายแรงเบรกไปยังล้อแต่ละล้ออย่างเหมาะสมและสมดุล ตามน้ำหนักที่กดลงบนล้อนั้น ๆ ในขณะเบรก
ทำไมถึงต้องมีการกระจายแรงเบรก? เมื่อคุณเบรก รถจะเกิดการถ่ายน้ำหนักไปด้านหน้า ทำให้ล้อหน้ามีน้ำหนักกดลงมากกว่าล้อหลัง หากแรงเบรกเท่ากันทุกล้อ ล้อหลังอาจล็อกได้ง่ายกว่าล้อหน้า โดยเฉพาะเมื่อรถมีน้ำหนักบรรทุกไม่เท่ากัน (เช่น มีผู้โดยสารนั่งข้างหลัง หรือบรรทุกของท้ายรถ) ซึ่งจะทำให้รถเสียการทรงตัวหรือท้ายปัดได้
หลักการทำงานของระบบ EBD
- EBD ทำงานร่วมกับ ABS โดยใช้เซ็นเซอร์เดียวกัน
- ระบบจะคำนวณและปรับแรงดันน้ำมันเบรกที่ส่งไปยังล้อแต่ละล้อแบบเรียลไทม์
- เช่น หากมีการถ่ายน้ำหนักไปข้างหน้ามาก EBD จะเพิ่มแรงเบรกไปที่ล้อหน้าและลดแรงเบรกที่ล้อหลัง เพื่อให้ล้อหลังไม่ล็อกและรักษาสมดุลของรถไว้
- หากมีผู้โดยสารหรือสัมภาระด้านหลัง EBD ก็จะเพิ่มแรงเบรกไปยังล้อหลังอย่างเหมาะสม
ประโยชน์ของระบบ EBD
- เบรกได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด: ใช้ประโยชน์จากแรงยึดเกาะของยางได้อย่างเต็มที่ในทุกสภาพการบรรทุก
- รักษาสมดุลของรถ: ป้องกันท้ายปัดหรือรถหมุนจากการที่ล้อหลังล็อก
- เสริมประสิทธิภาพ ABS: ทำให้การป้องกันล้อล็อกของ ABS ทำงานได้ดียิ่งขึ้น
ABS และ EBD ทำงานร่วมกันอย่างไร?
สองระบบนี้เปรียบเสมือนคู่หูที่ขาดกันไม่ได้ EBD จะปรับและกระจายแรงเบรกให้เหมาะสมในแต่ละล้อก่อน เพื่อให้ล้อทุกวงมีประสิทธิภาพในการหยุดรถสูงสุด จากนั้น ABS ก็จะเข้ามาจัดการต่อในกรณีที่ล้อใดล้อหนึ่งกำลังจะล็อก โดยการปล่อย-จับเบรกเป็นจังหวะ เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมทิศทางรถได้
กล่าวคือ EBD ช่วยให้การเบรกเริ่มต้นเป็นไปอย่างสมดุลที่สุด ส่วน ABS เป็น "ยามเฝ้าระวัง" ไม่ให้ล้อล็อก เพื่อให้คุณยังบังคับพวงมาลัยได้
สิ่งที่ควรรู้เมื่อ ABS และ EBD ทำงาน
- แป้นเบรกสั่นเป็นเรื่องปกติ!
เมื่อ ABS ทำงาน คุณจะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะท้านที่แป้นเบรกและอาจมีเสียงดังครืดคราด นั่นเป็นสัญญาณว่าระบบกำลังทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่าตกใจและอย่าถอนเท้าออกจากแป้นเบรกเด็ดขาด ให้เหยียบเบรกให้สุดและคงน้ำหนักเท้าไว้
- สัญญาณไฟเตือน
หากไฟเตือน ABS หรือ EBD โชว์ขึ้นบนหน้าปัดรถยนต์ แสดงว่าระบบอาจมีปัญหา ควรรีบนำรถเข้าตรวจสอบที่ศูนย์บริการทันที
การทำความเข้าใจและรู้ว่าระบบ ABS และ EBD ทำงานอย่างไร จะช่วยให้คุณมั่นใจและตอบสนองได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการขับขี่ที่ปลอดภัยบนทุกสภาพถนน
รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!
อ่านเพิ่มเติม: ระบบเบรก ABS สำคัญยังไงในช่วงฝนตก?
ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…