
(เครดิตรูปภาพ: freepik)
การต่อภาษีรถยนต์ประจำปีเป็นหน้าที่สำคัญของเจ้าของรถทุกคน และหนึ่งในขั้นตอนที่ขาดไม่ได้สำหรับรถที่มีอายุเกินกำหนดก็คือ "การตรวจสภาพรถ" ซึ่งหลายคนอาจยังมีข้อสงสัยว่า ตรวจสภาพรถใช้อะไรบ้าง และต้องเตรียมตัวอย่างไร บทความนี้มีคำตอบครบทุกขั้นตอน
ทำไมต้องตรวจสภาพรถก่อนต่อภาษีหรือโอนกรรมสิทธิ์
การตรวจสภาพรถเป็นข้อบังคับตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 ที่กำหนดโดยกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้มั่นใจว่ารถยนต์ที่ใช้งานบนท้องถนนมีสภาพมั่นคงแข็งแรง ปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และเพื่อนร่วมทาง รวมถึงมีค่ามลพิษไอเสียไม่เกินเกณฑ์มาตรฐาน
รถประเภทใดที่ต้องตรวจสภาพก่อนต่อภาษี
รถที่เข้าข่ายต้องเข้ารับการตรวจสภาพกับสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ก่อนยื่นชำระภาษีประจำปี ได้แก่
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป (นับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนครั้งแรก)
รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุการใช้งานครบ 7 ปีขึ้นไป
รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล ที่มีอายุการใช้งานครบ 5 ปีขึ้นไป
รถที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องตรวจสภาพ
รถใหม่ที่มีอายุการใช้งานยังไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด (รถยนต์ไม่ถึง 7 ปี, รถจักรยานยนต์ไม่ถึง 5 ปี) สามารถนำเล่มทะเบียนไปต่อภาษีรถยนต์ได้เลยโดยไม่ต้องตรวจสภาพ
ตรวจสภาพรถใช้อะไรบ้าง – เอกสารที่ต้องเตรียม

(เครดิตรูปภาพ: freepik)
สำหรับคำถามหลักที่ว่า ตรวจสภาพรถต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง โดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีความซับซ้อน สามารถแบ่งได้ดังนี้
เอกสารส่วนบุคคลของเจ้าของรถ
โดยปกติแล้ว หากเจ้าของรถนำรถไปตรวจด้วยตนเองที่ ตรอ. ไม่จำเป็นต้องใช้เอกสารส่วนตัว แต่ควรมีบัตรประชาชนติดตัวไว้เผื่อกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องการตรวจสอบ
เอกสารเกี่ยวกับตัวรถ
สมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มทะเบียน) ทั้งตัวจริงหรือสำเนา ถือเป็นเอกสารสำคัญที่สุดที่ต้องนำไปด้วย
เอกสารเพิ่มเติมกรณีโอนกรรมสิทธิ์
หากการตรวจสภาพรถเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการโอนกรรมสิทธิ์ จะต้องใช้ชุดโอนลอยที่กรอกข้อมูลและลงนามเรียบร้อยแล้วแนบไปด้วย
สรุปง่ายๆ คือ หากเป็นการตรวจเพื่อต่อภาษีทั่วไป สิ่งสำคัญที่ต้องเตรียมไปคือ ตัวรถ และ เล่มทะเบียนรถ เท่านั้น
ขั้นตอนการตรวจสภาพรถกับสถานตรวจสภาพ (ตรอ.)
- นำรถยนต์ไปยังสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก (สังเกตป้ายสัญลักษณ์ ตรอ.)
- ยื่นสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ (เล่มทะเบียน) ให้กับเจ้าหน้าที่
- ชำระค่าบริการตรวจสภาพ (รถยนต์ประมาณ 200 บาท, รถจักรยานยนต์ประมาณ 60 บาท)
- เจ้าหน้าที่จะนำรถเข้าสู่กระบวนการตรวจเช็กตามมาตรฐาน เช่น วัดความเข้มของโคมไฟหน้า, ตรวจสอบประสิทธิภาพของเบรก, วัดระดับเสียงท่อไอเสีย และวัดค่าก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) และไฮโดรคาร์บอน (HC) จากท่อไอเสีย
- รอรับใบรับรองผลการตรวจสภาพ ซึ่งจะมีอายุ 90 วัน
ขั้นตอนหลังผ่านการตรวจสภาพ
เมื่อได้รับใบรับรองผลการตรวจสภาพแล้ว คุณสามารถนำเอกสารนี้ไปใช้ประกอบการยื่นชำระภาษีรถยนต์ประจำปีได้ทั้งที่สำนักงานขนส่ง, ผ่านระบบออนไลน์ของกรมการขนส่งทางบก, หรือที่ทำการไปรษณีย์
เคล็ดลับตรวจสภาพรถให้ผ่านในครั้งเดียว
เพื่อความรวดเร็วและไม่เสียเวลา ควร ตรวจเช็คสภาพรถใช้อะไรบ้าง เบื้องต้นด้วยตนเองก่อนนำไปที่ ตรอ.
- ระบบไฟส่องสว่าง: ตรวจสอบไฟหน้า (สูง-ต่ำ), ไฟเลี้ยว, ไฟเบรก, และไฟถอยหลัง ต้องติดครบทุกดวง
- แตรและที่ปัดน้ำฝน: แตรต้องดัง และยางปัดน้ำฝนต้องรีดน้ำได้สะอาด
- สภาพยางและเบรก: ดอกยางต้องไม่โล้น และระบบเบรกต้องทำงานได้ดี
- สภาพตัวถัง: ตัวรถต้องไม่ผุพังหรือมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่แหลมคมอาจก่อให้เกิดอันตราย
- ควันดำ: หากรถมีควันดำ ควรนำไปให้ช่างแก้ไขระบบเผาไหม้ก่อน
- ช่วงเวลาที่เหมาะสม: แนะนำให้ไปช่วงเช้าวันธรรมดา จะมีผู้ใช้บริการน้อยกว่าช่วงใกล้สิ้นเดือนหรือวันหยุด
คำถามที่พบบ่อย
1. ควรให้ช่างมาตรวจสภาพรถก่อนขายมั้ย?
เป็นทางเลือกที่ดี การมีใบรับรองการตรวจสภาพรถจากช่างผู้เชี่ยวชาญก่อนขาย จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อและอาจทำให้ขายรถได้ง่ายขึ้น
2. รถกี่ปี ถึงต้องตรวจสภาพรถ?
ตามกฎหมายกำหนดคือ รถยนต์อายุครบ 7 ปีขึ้นไป และ รถจักรยานยนต์อายุครบ 5 ปีขึ้นไป
ข้อสรุป
การเตรียมตัวสำหรับคำถามว่า ตรวจสภาพรถใช้อะไรบ้าง นั้นไม่ยุ่งยาก เพียงแค่เตรียมรถให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งาน และเตรียมสมุดคู่มือจดทะเบียนรถให้พร้อม การตรวจสภาพรถไม่เพียงแต่เป็นข้อบังคับทางกฎหมาย แต่ยังเป็นการตรวจสอบความปลอดภัยของรถคุณเอง เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจ
รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!
อ่านเพิ่มเติม: รับซื้อรถยนต์มือสอง ทุกรุ่น ทุกยี่ห้อ ให้ราคาสูง ภายใน 24 ชั่วโมง
ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…