(เครดิตรูปภาพ: autonation)
สำหรับมือใหม่หัดขับ หรือแม้แต่ผู้ขับขี่ที่คุ้นเคยกับเกียร์ออโต้อยู่แล้ว
การทำความเข้าใจหน้าที่และเทคนิคการใช้เกียร์แต่ละตำแหน่งอย่างถูกต้อง จะช่วยให้คุณขับขี่ได้อย่างปลอดภัย ประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ได้อีกด้วย เรามาดูกันว่าแต่ละเกียร์มีไว้ทำอะไรและควรใช้อย่างไรให้เต็มประสิทธิภาพ
เกียร์ P (Park): จอดสนิท ปลอดภัยสูงสุด
เกียร์ P หรือ Park เป็นเกียร์สำหรับ จอดรถในขณะที่รถหยุดนิ่งสนิท โดยเกียร์ P จะล็อกเพลาขับเคลื่อนของรถไว้ ทำให้รถไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นราบหรือทางลาดชัน
เทคนิคการใช้
- ใช้เมื่อจอดรถเท่านั้น: ควรเข้าเกียร์ P ก็ต่อเมื่อรถหยุดนิ่งสนิทและคุณต้องการจอดรถทิ้งไว้
- ดึงเบรกมือเสมอ: แม้เกียร์ P จะล็อกเพลาขับ แต่การดึงเบรกมือควบคู่ไปด้วยจะช่วยลดภาระการทำงานของเกียร์และป้องกันการเคลื่อนที่ของรถในกรณีที่ระบบเกียร์มีปัญหา หรือเมื่อจอดบนทางลาดชัน
- ไม่ควรเข้าเกียร์ P ขณะรถยังเคลื่อนที่: การทำเช่นนี้จะสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงต่อระบบเกียร์ออโต้
เกียร์ R (Reverse): ถอยหลังอย่างมั่นใจ
เกียร์ R หรือ Reverse คือเกียร์สำหรับ การขับถอยหลัง
เทคนิคการใช้
- หยุดรถให้สนิทก่อนเข้าเกียร์ R: เช่นเดียวกับเกียร์ P การเข้าเกียร์ R ขณะรถยังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าจะทำให้เกียร์เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
- เหยียบเบรกขณะเข้าเกียร์: เพื่อป้องกันรถพุ่งถอยหลังโดยไม่ตั้งใจ
- ถอยหลังช้าๆ: โดยใช้เท้าควบคุมน้ำหนักการเหยียบเบรกและคันเร่งอย่างเบามือ
เกียร์ N (Neutral): พักเครื่องชั่วคราว หรือจอดซ้อนคัน
เกียร์ N หรือ Neutral เป็นเกียร์สำหรับ พักเกียร์หรือจอดรถชั่วคราว โดยเกียร์ N จะตัดการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องยนต์กับล้อ ทำให้รถสามารถเข็นได้ (หากไม่ได้ดึงเบรกมือ)
เทคนิคการใช้
- ติดไฟแดงนานๆ: หากติดไฟแดงนานเกิน 30 วินาที การเข้าเกียร์ N เหยียบเบรกมือ หรือเหยียบเบรกเท้าค้างไว้ จะช่วยลดภาระการทำงานของเกียร์ D และลดความร้อนสะสม
- จอดซ้อนคัน: ใช้เกียร์ N เพื่อให้สามารถเข็นรถได้เมื่อต้องการจอดขวางคันอื่น (พร้อมปลดเบรกมือ)
- ไม่ควรใช้เกียร์ N ขณะรถเคลื่อนที่ลงทางลาด: การทำเช่นนี้จะทำให้รถไหลเร็วเกินไปและอาจควบคุมยาก เนื่องจากไม่มีเอนจิ้นเบรกมาช่วยชะลอ และยังอาจทำให้ระบบเกียร์ขาดการหล่อลื่นที่เหมาะสม
เกียร์ D (Drive): ขับขี่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
เกียร์ D หรือ Drive คือเกียร์สำหรับ การขับขี่เดินหน้าตามปกติ รถยนต์จะเปลี่ยนเกียร์ขึ้น-ลงให้โดยอัตโนมัติ ตามความเร็วรอบเครื่องยนต์และแรงกดคันเร่ง
เทคนิคการใช้
- ออกตัวปกติ: ใช้เกียร์ D ในการขับขี่ทั่วไปบนท้องถนน
- เหยียบเบรกเมื่อหยุดนิ่ง: หากรถหยุดนิ่งขณะที่เกียร์ยังอยู่ในตำแหน่ง D ควรเหยียบเบรกค้างไว้ เพื่อป้องกันรถเคลื่อนตัวไปข้างหน้า และลดภาระการทำงานของระบบเกียร์
- ลดความเร็วอย่างนุ่มนวล: เมื่อต้องการชะลอความเร็ว ให้ยกเท้าออกจากคันเร่งและแตะเบรกอย่างนุ่มนวล ระบบเกียร์จะลดตำแหน่งเกียร์ลงมาเอง
เกียร์ S (Sport / Second / Snow): เพิ่มอัตราเร่ง หรือใช้ในสถานการณ์พิเศษ
เกียร์ S มีความหมายและการทำงานที่แตกต่างกันไปในรถแต่ละรุ่น แต่โดยทั่วไปแล้วมักหมายถึง
-
Sport (สปอร์ต): ในรถรุ่นใหม่ๆ เกียร์ S มักจะหมายถึงโหมดสปอร์ต ที่เน้นการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น รอบเครื่องสูงขึ้น การเปลี่ยนเกียร์ที่เร็วขึ้น เพื่อการเร่งแซงหรือขับขี่ที่ต้องการสมรรถนะ
- เทคนิคการใช้: เหมาะสำหรับการเร่งแซงอย่างรวดเร็ว, การขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่ต้องการกำลัง, หรือการขับขี่ที่ต้องการความสนุกสนาน ควรใช้เท่าที่จำเป็นและสลับกลับมาที่เกียร์ D เมื่อไม่ต้องการประสิทธิภาพสูงแล้ว เพื่อประหยัดน้ำมัน
-
Second (เกียร์สอง):ในรถบางรุ่น เกียร์ S อาจหมายถึงการจำกัดให้รถใช้เกียร์สูงสุดแค่เกียร์ 2
- เทคนิคการใช้: ใช้เมื่อขับขี่ในทางลาดชันมาก ๆ หรือในสภาพพื้นผิวที่ลื่น เช่น หิมะหรือโคลน เพื่อเพิ่มแรงฉุดและควบคุมความเร็วรถ
- Snow (หิมะ): ในรถบางรุ่นอาจมีโหมด S หรือสัญลักษณ์รูปเกล็ดหิมะ สำหรับขับขี่บนพื้นผิวที่ลื่นมาก ๆ เช่น หิมะ เพื่อออกตัวอย่างนุ่มนวลและป้องกันการลื่นไถล
-
Sport (สปอร์ต): ในรถรุ่นใหม่ๆ เกียร์ S มักจะหมายถึงโหมดสปอร์ต ที่เน้นการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ดีขึ้น รอบเครื่องสูงขึ้น การเปลี่ยนเกียร์ที่เร็วขึ้น เพื่อการเร่งแซงหรือขับขี่ที่ต้องการสมรรถนะ
เกียร์ L (Low / Lower Gear): กำลังสูงสุดในทางลาดชันหรือลงเขา
เกียร์ L หรือ Low คือเกียร์ที่ จำกัดให้รถใช้เกียร์ต่ำที่สุด (เช่น เกียร์ 1 หรือ 2) เพื่อให้ได้แรงบิดสูงสุดจากเครื่องยนต์
เทคนิคการใช้
- ขึ้นทางลาดชันสูงชันมาก: ใช้เกียร์ L เพื่อเพิ่มกำลัง ทำให้รถมีแรงปีนขึ้นทางชันได้ง่ายขึ้น
- ลงทางลาดชันยาวๆ (เอนจิ้นเบรก): นี่คือประโยชน์สำคัญที่สุดของเกียร์ L! เมื่อลงเขาหรือทางลาดชันยาวๆ การเข้าเกียร์ L จะช่วยให้เครื่องยนต์หน่วงรถไว้ (Engine Brake) ลดความจำเป็นในการเหยียบเบรกบ่อยๆ ซึ่งจะช่วย ถนอมผ้าเบรกและป้องกันเบรกไหม้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
- ไม่ควรใช้เกียร์ L ในการขับขี่ปกติบนพื้นราบ: เพราะจะทำให้รอบเครื่องยนต์สูงเกินไป กินน้ำมัน และทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักโดยไม่จำเป็น
สรุปเคล็ดลับการใช้เกียร์ออโต้เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
- จอดสนิทก่อนเปลี่ยนเกียร์: ไม่ว่าจะเป็น P, R, หรือ D ควรหยุดรถให้สนิทก่อนเสมอ
- ใช้เบรกมือควบคู่กับเกียร์ P เสมอ: เพื่อความปลอดภัยและลดภาระเกียร์
- เลือกเกียร์ให้เหมาะกับสถานการณ์: D สำหรับขับขี่ปกติ, R สำหรับถอยหลัง, P สำหรับจอด, N สำหรับจอดชั่วคราว/เข็น, S สำหรับสมรรถนะ/ทางลาดชันเล็กน้อย, L สำหรับทางชันมาก/ลงเขา
- ไม่ใช้เกียร์ N ไหลลงเนิน: อาจทำให้ควบคุมรถยากและเกียร์เสียหาย
- เข้าใจรถของคุณ: คู่มือประจำรถคือแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจการทำงานของเกียร์ S และ L ในรถรุ่นของคุณ
การเรียนรู้และนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ จะช่วยให้การขับขี่ด้วยรถเกียร์ออโต้ของคุณปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และสนุกกับการเดินทางมากขึ้น!
รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!
อ่านเพิ่มเติม: วิธีตรวจสอบประวัติรถมือสองเบื้องต้น ก่อนตัดสินใจซื้อ
ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…