ทำไมต้องตรวจสภาพรถทุกปี? ข้อดีที่เจ้าของรถไม่ควรมองข้าม

เผยแพร่โดย เมื่อ

Editors%2 Fimages%2 F1751429972336 1751429972335

(เครดิตรูปภาพ: matichon)

หนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการดูแลรักษารถให้พร้อมใช้งานและปลอดภัยอยู่เสมอ คือ การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี

หรือที่คนส่วนใหญ่มักเรียกว่า "ตรวจ ต.ร.อ." (ตรวจสภาพรถยนต์เพื่อต่อภาษีประจำปี) แต่ทำไมถึงต้องตรวจ และมีอะไรที่ถูกตรวจสอบบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ!

ทำไมต้องตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี?

การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีมีความสำคัญหลายด้าน ทั้งในแง่ของกฎหมาย ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการทำงานของรถยนต์

1. ข้อบังคับทางกฎหมาย

ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 กำหนดให้รถยนต์ทุกคันที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน) หรือเกิน 5 ปี (สำหรับรถยนต์บรรทุกและรถยนต์รับจ้าง) ต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ก่อนการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี หากไม่ผ่านการตรวจสภาพจะไม่สามารถต่อภาษีได้

2. ความปลอดภัยในการขับขี่

การตรวจสภาพรถช่วยให้มั่นใจว่ารถของคุณอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานและปลอดภัย ทั้งระบบเบรก ระบบไฟ สภาพยาง หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากพบความผิดปกติ จะได้ดำเนินการแก้ไขก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด

3. รักษาสภาพแวดล้อม

รถยนต์ที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีจะมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่สมบูรณ์ ลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม

4. ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว

การตรวจพบความผิดปกติเล็กน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยป้องกันความเสียหายใหญ่ที่อาจนำไปสู่ค่าซ่อมที่แพงกว่ามากในอนาคต

5. ยืดอายุการใช้งานของรถ

เมื่อรถได้รับการดูแลและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ย่อมส่งผลให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น

รถแบบไหนที่ต้องตรวจสภาพ?

  • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุครบ 7 ปี ขึ้นไป (นับจากวันจดทะเบียน)
  • รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ที่มีอายุครบ 10 ปี ขึ้นไป
  • รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุครบ 7 ปี ขึ้นไป
  • รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุครบ 5 ปี ขึ้นไป
  • รถประเภทอื่น ๆ ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด

การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี ตรวจอะไรบ้าง?

การตรวจสภาพรถยนต์โดย ตรอ. จะครอบคลุมจุดสำคัญต่าง ๆ ดังนี้

1. ระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณ

    • ไฟหน้า (สูง-ต่ำ), ไฟท้าย, ไฟเลี้ยว (หน้า-หลัง-ข้าง), ไฟเบรก (รวมไฟเบรกดวงที่สาม), ไฟถอยหลัง
    • ความเข้มและทิศทางของแสงไฟหน้า

2. ระบบเบรก

    • ประสิทธิภาพของเบรกมือและเบรกเท้า (วัดจากค่าแรงเบรก)
    • ตรวจสอบรอยรั่วหรือความผิดปกติของท่อทางเดินน้ำมันเบรก

3. ยางและล้อ

    • สภาพดอกยาง, แก้มยาง, การสึกหรอที่ผิดปกติ
    • ความสมบูรณ์ของล้อและน็อตล้อ

4. ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว

    • ลูกหมาก, คันส่ง, คันชัก, โช้คอัพ, สปริง
    • ความหลวมคลอนของพวงมาลัย

5. เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง

  • ตรวจสอบรอยรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง, น้ำหล่อเย็น
  • ความมั่นคงของแท่นเครื่อง

6. ระบบไอเสีย

    • ระดับเสียงท่อไอเสียต้องไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด
    • ตรวจวัดค่าควันดำ (สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล) และค่าคาร์บอนมอนอกไซด์/ไฮโดรคาร์บอน (สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน)

7. ส่วนประกอบอื่น ๆ

    • กระจกบังลม (ต้องไม่มีรอยแตกร้าวบดบังทัศนวิสัย)
    • แตร (ต้องมีเสียงดังชัดเจน)
    • ที่ปัดน้ำฝนและระบบฉีดน้ำ
    • สภาพตัวถังรถ (ไม่ดัดแปลงผิดไปจากที่จดทะเบียน)
    • เบาะนั่งและเข็มขัดนิรภัย
    • เครื่องมือและอุปกรณ์ประจำรถ (ยางอะไหล่, แม่แรง, ประแจ)

ข้อแนะนำเพิ่มเติม

  • ก่อนนำรถเข้าตรวจสภาพ ควรตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเอง เช่น เช็คไฟส่องสว่างทุกดวง, เติมลมยางให้ได้มาตรฐาน, ทำความสะอาดรถ เพื่อให้การตรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและลดโอกาสไม่ผ่าน
  • หากรถมีปัญหาที่ไม่แน่ใจ ควรนำเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อแก้ไขก่อนนำไปตรวจสภาพ

การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีไม่เพียงแต่เป็นการทำตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง รวมถึงผู้ร่วมถนนคนอื่น และเป็นการดูแลรักษาของชิ้นสำคัญให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่านานที่สุดอีกด้วย

รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!

อ่านเพิ่มเติม: เข้าใจง่าย! พ.ร.บ. รถยนต์แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร พร้อมราคาอัปเดตล่าสุด


ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…

0 ความคิดเห็น