(เครดิตรูปภาพ: matichon)
หนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการดูแลรักษารถให้พร้อมใช้งานและปลอดภัยอยู่เสมอ คือ การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี
หรือที่คนส่วนใหญ่มักเรียกว่า "ตรวจ ต.ร.อ." (ตรวจสภาพรถยนต์เพื่อต่อภาษีประจำปี) แต่ทำไมถึงต้องตรวจ และมีอะไรที่ถูกตรวจสอบบ้าง? บทความนี้มีคำตอบ!
ทำไมต้องตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี?
การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีมีความสำคัญหลายด้าน ทั้งในแง่ของกฎหมาย ความปลอดภัย และประสิทธิภาพการทำงานของรถยนต์
1. ข้อบังคับทางกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 กำหนดให้รถยนต์ทุกคันที่มีอายุการใช้งานเกิน 7 ปี (สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน) หรือเกิน 5 ปี (สำหรับรถยนต์บรรทุกและรถยนต์รับจ้าง) ต้องเข้ารับการตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีจากสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก ก่อนการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี หากไม่ผ่านการตรวจสภาพจะไม่สามารถต่อภาษีได้
2. ความปลอดภัยในการขับขี่
การตรวจสภาพรถช่วยให้มั่นใจว่ารถของคุณอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานและปลอดภัย ทั้งระบบเบรก ระบบไฟ สภาพยาง หรือส่วนประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง หากพบความผิดปกติ จะได้ดำเนินการแก้ไขก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด
3. รักษาสภาพแวดล้อม
รถยนต์ที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีจะมีการเผาไหม้เชื้อเพลิงที่สมบูรณ์ ลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม
4. ประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว
การตรวจพบความผิดปกติเล็กน้อยตั้งแต่เนิ่น ๆ สามารถช่วยป้องกันความเสียหายใหญ่ที่อาจนำไปสู่ค่าซ่อมที่แพงกว่ามากในอนาคต
5. ยืดอายุการใช้งานของรถ
เมื่อรถได้รับการดูแลและตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ ย่อมส่งผลให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น
รถแบบไหนที่ต้องตรวจสภาพ?
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ที่มีอายุครบ 7 ปี ขึ้นไป (นับจากวันจดทะเบียน)
- รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเกิน 7 คน ที่มีอายุครบ 10 ปี ขึ้นไป
- รถยนต์บรรทุกส่วนบุคคล ที่มีอายุครบ 7 ปี ขึ้นไป
- รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุครบ 5 ปี ขึ้นไป
- รถประเภทอื่น ๆ ตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด
การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปี ตรวจอะไรบ้าง?
การตรวจสภาพรถยนต์โดย ตรอ. จะครอบคลุมจุดสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
1. ระบบไฟส่องสว่างและสัญญาณ
- ไฟหน้า (สูง-ต่ำ), ไฟท้าย, ไฟเลี้ยว (หน้า-หลัง-ข้าง), ไฟเบรก (รวมไฟเบรกดวงที่สาม), ไฟถอยหลัง
- ความเข้มและทิศทางของแสงไฟหน้า
2. ระบบเบรก
- ประสิทธิภาพของเบรกมือและเบรกเท้า (วัดจากค่าแรงเบรก)
- ตรวจสอบรอยรั่วหรือความผิดปกติของท่อทางเดินน้ำมันเบรก
3. ยางและล้อ
- สภาพดอกยาง, แก้มยาง, การสึกหรอที่ผิดปกติ
- ความสมบูรณ์ของล้อและน็อตล้อ
4. ระบบช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยว
- ลูกหมาก, คันส่ง, คันชัก, โช้คอัพ, สปริง
- ความหลวมคลอนของพวงมาลัย
5. เครื่องยนต์และระบบส่งกำลัง
- ตรวจสอบรอยรั่วซึมของน้ำมันเครื่อง, น้ำหล่อเย็น
- ความมั่นคงของแท่นเครื่อง
6. ระบบไอเสีย
- ระดับเสียงท่อไอเสียต้องไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด
- ตรวจวัดค่าควันดำ (สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล) และค่าคาร์บอนมอนอกไซด์/ไฮโดรคาร์บอน (สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน)
7. ส่วนประกอบอื่น ๆ
- กระจกบังลม (ต้องไม่มีรอยแตกร้าวบดบังทัศนวิสัย)
- แตร (ต้องมีเสียงดังชัดเจน)
- ที่ปัดน้ำฝนและระบบฉีดน้ำ
- สภาพตัวถังรถ (ไม่ดัดแปลงผิดไปจากที่จดทะเบียน)
- เบาะนั่งและเข็มขัดนิรภัย
- เครื่องมือและอุปกรณ์ประจำรถ (ยางอะไหล่, แม่แรง, ประแจ)
ข้อแนะนำเพิ่มเติม
- ก่อนนำรถเข้าตรวจสภาพ ควรตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตัวเอง เช่น เช็คไฟส่องสว่างทุกดวง, เติมลมยางให้ได้มาตรฐาน, ทำความสะอาดรถ เพื่อให้การตรวจเป็นไปอย่างราบรื่นและลดโอกาสไม่ผ่าน
- หากรถมีปัญหาที่ไม่แน่ใจ ควรนำเข้าอู่หรือศูนย์บริการเพื่อแก้ไขก่อนนำไปตรวจสภาพ
การตรวจสภาพรถยนต์ประจำปีไม่เพียงแต่เป็นการทำตามกฎหมาย แต่ยังเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง รวมถึงผู้ร่วมถนนคนอื่น และเป็นการดูแลรักษาของชิ้นสำคัญให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่านานที่สุดอีกด้วย
รับสิทธิ์ประเมินราคารถฟรีวันนี้!
อ่านเพิ่มเติม: เข้าใจง่าย! พ.ร.บ. รถยนต์แต่ละประเภทต่างกันอย่างไร พร้อมราคาอัปเดตล่าสุด
ต้องการ ราคาประเมินรถ? สามารถติดต่อเราเพื่อรับการประเมินราคารถฟรี ภายใน 24 ชั่วโมงได้เลย…